ซิลิโคนที่ใช้เสริมจมูกมีกี่ประเภท
อีกคำถามหนึ่งที่คนที่อยากได้จมูกสวยแบบดารา-นักร้องชื่อดัง มักจะสอบถามขอคำปรึกษาจากศัลยแพทย์ก่อนจะตัดสินใจทำก็คือ ควรเลือกใช้ซิลิโคนแบบไหนดี ซิลิโคนเสริมจมูกมีกี่แบบ แต่ละเกรดราคาต่างกันอย่างไรบ้าง
ซึ่งจากที่เคยสอบถามกับคลินิกทำจมูกหลาย ๆ แห่งก็มักจะได้รับคำตอบที่แตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วทางคลินิกมักจะเชียร์ให้เลือกใช้ซิลิโคนตัวที่ทางคลินิกแห่งนั้นนำมาใช้ อันที่จริงในยุคนี้ซิลิโคนมีหลายเกรดมากๆ แต่ละเกรดก็นำเข้ามาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งซิลิโคนแต่ละเกรดก็จะมีทั้งความนิ่ม ความแข็งที่แตกต่างกันให้เลือกอีก
และในแต่ละชนิดก็จะมีข้อดี ข้อเสียในตัวมันเอง ซึ่งก็จะเหมาะสมกับแต่ละคนไป นอกจากนี้ราคาซิลิโคนของแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย ดังนั้นเราควรศึกษาหาข้อมูลเปรียบเทียบให้ดีก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกใช้ซิลิโคนแบบไหนดี
เป็นที่ทราบกันดีว่า การเสริมจมูกโดยการใช้ซิลิโคน แพทย์ต้องใช้ความละเอียดประณีตเป็นอย่างมากในการผ่าตัดเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาปลายจมูกทะลุจากซิลิโคนที่เลื่อนตัวลงมา หรือซิลิโคนทะลุภายในรูจมูก เป็นต้น ดังนั้นจึงมีวิทยาการทางเลือกอื่นๆ ที่ศัลยแพทย์จะใช้ดุลยพินิจว่า ควรใช้การเสริมจมูกแบบไหน เช่น การใช้เนื้อเยื่อกระดูกอ่อนของตนเองร่วมด้วยในขั้นตอนการเสริมจมูก อันเป็นวิธีการที่ผสมผสานระหว่างการเสริมด้วยซิลิโคน และเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน
การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนของตัวเราเอง
การทำจมูกนอกเหนือจากจะใช้ซิลิโคนเสริมเข้าไปแล้ว วิวัฒนาการในยุคนี้ได้ก้าวหน้ามาจนถึงความนิยมที่จะทำดั้งโดยใช้กระดูกอ่อนของตัวคนไข้เองมาเสริมจมูก โดยกระดูกอ่อนจาก 3 ตำแหน่งใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้คือตำแหน่งที่ศัลยแพทย์นิยมนำมาใช้ในการผ่าตัดตกแต่งเสริมจมูก
1.กระดูกอ่อนหลังใบหู
เป็นตำแหน่งที่นิยมนำมาใช้ในการเสริมจมูกมากที่สุด เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในเรื่องซิลิโคนทะลุจมูก โดยนำกระดูกอ่อนหลังใบหูมาใส่รองไว้ที่บริเวณปลายจมูก เพิ่มความหนาของเนื้อเยื่อในส่วนจมูก และเพื่อป้องกันไม่ให้ซิลิโคนไปสัมผัสโดยตรงกับผิวส่วนปลายจมูก ซึ่งแพทย์จะทำการผ่าตัดนำกระดูกอ่อนออกมาจากเบ้าในใบหูของคนไข้ อย่างระมัดระวังไม่ให้รูปทรงใบหูของคนไข้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม โดยสามารถนำกระดูกอ่อนจากใบหูมาใช้ได้ทั้ง 2 ข้าง กระดูกอ่อนจากใบหูจะมีความโค้งงอเล็กน้อย จึงเหมาะสมต่อการนำมาใช้ประกอบกับการเสริมด้วยซิลิโคน
2.กระดูกอ่อนผนังกั้นจมูก (Septum)
ในการผ่าตัดของฝรั่ง หากคนไข้ต้องการผ่าตัดเพื่อปรับโครงสร้างของจมูกจะแนะนำให้ใช้กระดูกอ่อนของผนังกั้นจมูกเป็นมาตรฐานอย่างแรกเสมอ ซึ่งกระบวนการผ่าตัดทั้งหมดจะรวมอยู่ในการเปิดจมูกเพียงครั้งเดียว โดยไม่ต้องเปิดแผลผ่าตัดในตำแหน่งอื่นอีก จึงนับว่าเป็นข้อดีเป็นอย่างมาก วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีปลายจมูกงุ้ม โครงสร้างจมูกไม่แข็งแรง จมูกไม่โด่ง ไม่พุ่ง วิธีนี้ใช้ในการแก้จมูกแบบเทคนิคเปิด โดยเป็นการยืดผนังกั้นจมูก ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดนำกระดูกอ่อน septum ซึ่งอยู่ตรงบริเวณกึ่งกลางระหว่างรูจมูกทั้ง 2 ข้าง โดยนำออกมาบางส่วน แล้วนำมาวางในตำแหน่งที่จะเสริมและปรับให้เหมาะสม เพื่อต่อเติมให้โครงสร้างจมูกดูยาวและดูแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ปลายจมูกจะดูพุ่งสวยงามมากขึ้น
3.กระดูกอ่อนซี่โครง
เทคนิคการทำดั้งด้วยกระดูกอ่อนซี่โครงเป็นวิธีการที่เราต่างเคยได้ยินกันมาอย่างยาวนานหลายสิบปีแล้ว กรรมวิธีคือศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณใต้ราวนม ความยาวแผนประมาณ 2-3 เซนติเมตร เพื่อผ่าเลาะนำเอาชิ้นส่วนกระดูกซี่โครงอ่อนขนาดประมาณ 3-5 เซนติเมตร มาใช้เป็นวัสดุในการเสริมดั้งให้โด่งมากขึ้น โดยการเสริมจมูกด้วยเทคนิคนี้จะต้องมีการดมยาสลบร่วมด้วย และทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญสูง จึงใช้เวลาในการผ่าตัดค่อนข้างนาน
ทรงจมูกแบบไหน ที่เหมาะกับใบหน้า
จมูกสวยทรงที่ฮิตมาก ๆ และเป็นทรงจมูกในดวงใจของใครหลาย ๆ คนก็คือ “ทรงหยดน้ำ” เป็นการตกแต่งโดยเสริมส่วนปลายของจมูกให้มีความยาวเพิ่มขึ้นโดยมีรูปทรงคล้ายกับหยดน้ำ จมูกทรงนี้เหมาะกับคนที่มีเนื้อจมูกอยู่พอสมควรและมีรูปจมูกค่อนข้างยาวอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ส่วนทรงจมูกยอดนิยมอีกทรงหนึ่งที่ฮิตมาก ๆ ในบรรดาเหล่าดารา-ไอดอลเกาหลีรวมถึงดาราไทยก็คือ “ทรงสโลปปลายพุ่ง” ซึ่งเหมาะกับคนที่มีปัญหาดั้งจมูกไม่สมส่วนหรือดั้งจมูกไม่โด่ง จมูกทรงปลายพุ่งเมื่อทำออกแล้วจะทำให้ดูมีสันจมูกที่สวยคมได้รูป
ส่วนปลายจมูกที่พุ่งจะส่งผลให้ปลายจมูกดูเรียวเล็กลง จะได้ใบหน้าที่สวยหวานขึ้น และช่วยให้หน้าดูเด็กลงได้อีกด้วย ( 7 ทรงจมูกสุดฮิตที่สาว ๆ นิยมทำมากที่สุด 2020)
อย่างไรก็ดี การจะเลือกทรงจมูกให้คุณหมอทำจมูกให้ ไม่ใช่เพียงแค่เลือกทำตามแบบของไอดอล-ดาราที่ตัวเราชื่นชอบแต่เพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาถึงปริมาณเนื้อจมูกเดิม และโครงหน้าเดิมของตัวเราด้วย ว่าจะเหมาะกับการทำจมูกแบบไหน รูปทรงไหน เพราะทรงจมูกเดียวกันไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำออกมาสวยเหมือนกันหมด
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดเสริมจมูก
เมื่อตัดสินใจที่จะเข้ารับการผ่าตัดเสริมจมูกแล้ว ผู้เข้ารับการผ่าตัดควรเข้ารับคำปรึกษากับทางศัลยแพทย์ เพื่อหารือร่วมกันถึงแนวทางในการผ่าตัด พร้อมทั้งแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพให้แพทย์ทราบอย่างครบถ้วน ได้แก่ แพ้ยาตัวไหนบ้าง มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง กำลังรับประทานยาตัวไหนอยู่บ้าง เช่น ยาในกลุ่มแอสไพริน และไอบิวโพรเฟน เพื่อให้คุณหมอทราบข้อมูลและนำไปใช้ในการวางแผนผ่าตัดได้อย่างรัดกุมและปลอดภัยมากที่สุด และตัวคนไข้เองก็ควรดูแลสุขภาพให้พร้อมก่อนเข้ารับการผ่าตัดทำจมูก ดังต่อไปนี้
– ควรงดสูบบุหรี่ และงดการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
– ควรงดรับประทานอาหารจำพวกของหมักดอง ของแสลง
– ควรงดรับประทานอาหารทะเล
– ควรงดรับประทานวิตามินอาหารเสริมทุกชนิดก่อนเข้ารับการผ่าตัดเสริมจมูก
– ควรสระผมให้เรียบร้อยก่อนเข้าผ่าตัด และงดแต่งหน้า-ทาเล็บ
– สามารถรับประทานอาหารก่อนเข้ารับการผ่าตัดได้ โดยไม่จำเป็นต้องงดน้ำ งดอาหาร
การดูแลตัวเองหลังไปเสริมจมูก
ระยะเวลา 1 เดือนแรกหลังเข้ารับการผ่าตัดเสริมจมูกถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องดูแลตัวเองให้มากที่สุด ซึ่งทาง We clinic จะมีเอกสารใบคำแนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดอย่างละเอียด เช่น ควรงดการสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะมีผลในเรื่องการสมานแผลอาจทำให้แผลหายช้า ควรระมัดระมัดระวังไม่ให้บริเวณจมูกได้รับการกดทับหรือการกระทบกระเทือน ควรหลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาแบบหนัก ห้ามขยี้จมูก ห้ามแคะ แกะ เกาบริเวณจมูก เพราะหลังผ่าตัดเนื้อจมูกจะยังไม่แข็งแรง
วิธีการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดเสริมจมูก
– ให้ประคบเย็น ในช่วงหลังผ่าตัด 1 – 2 วันแรก เพื่อช่วยเพื่อให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้น เพราะถ้าหากไม่ทำการประคบเย็นอาจทำให้เกิดเลือดออกและมีพังผืดในจมูกเกิดขึ้น และควรนอนโดยยกศีรษะให้สูงเพื่อช่วยให้อาการบวมยุบหายได้เร็วขึ้น
– ใช้การประคบอุ่น ในช่วง 4-5 วันหลังผ่าตัด เพื่อลดรอยช้ำ เมื่อเลือดหยุดไหล แผลเริ่มหายสนิท
– ควรใช้ไม้พันสำลีเช็ดน้ำเกลือ หรือยาฆ่าเชื้อโรคตามที่แพทย์แนะนำในการทำความสะอาดแผลในโพรงจมูก สามารถล้างหน้าได้แต่ควรล้างอย่างเบา ๆ
– ไม่รับประทานอาหารแสลงที่อาจทำให้หน้าบวมแดง เช่น อาหารรสชาติเผ็ด เค็ม อาหารที่ร้อนจัด ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามสูบบุหรี่ ควรดูแลตัวเอง หลีกเหลี่ยงบริเวณที่มีฝุ่นละอองเพื่อป้องกันการจามหรือไอ หากมีอาการปวดสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ และเมื่อถึงกำหนดนัดให้ไปพบแพทย์เพื่อตัดไหม