มารู้จัก แบบบ้าน สไตล์โมเดิร์น
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “บ้านสไตล์โมเดิร์น” และมักจะเข้าใจว่าบ้านสไตล์โมเดิร์นก็คือบ้านที่มีลักษณะเรียบๆ มีช่องเปิดกว้างๆ และมีหลังคาเป็นพื้นเรียบ Flat Slab (พื้นสแลบ) หรือ หลังคาทรง Lean-to (หลังคาเพิงหมาแหงน) คือลักษณะของบ้านสไตล์โมเดิร์น ซึ่งแน่นอนว่าอาจถูกต้องเพียงบางส่วนเท่านั้น ดังนั้นการที่เราจะตัดสินใจเรียกบ้านหลังใดหลังหนึ่งว่าเป็นสไตล์แบบไหน หรือจะเรียกบ้านหลังใดว่าเป็นบ้านแบบโมเดิร์น เราควรที่จะต้องรู้ซะก่อนว่า สไตล์โมเดิร์นมีที่มาที่ไปอย่างไร
สไตล์โมเดิร์น เป็นรูปแบบของสิ่งก่อสร้างที่ได้รับอิทธิพลมาจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นช่วงที่คนหันมาให้ความคำนึงถึง การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการใช้วัสดุรวมทั้งแรงงานที่ไม่จำเป็นในการก่อสร้าง ดังนั้นจึงเกิดกระบวนการในการลดทอนส่วนประกอบของอาคารที่ฟุ่มเฟือยและหันมาใช้รูปทรงเรขาคณิตขั้นพื้นฐานที่มีความเรียบง่าย ไม่มีการตกแต่งหรือปกปิดพื้นผิว โชว์ลักษณะพื้นผิวตามธรรมชาติของวัสดุที่นำมาใช้ และเนื่องจากคำว่า Modern ในภาษาอังกฤษ แปลว่า ใหม่หรือทันสมัย จึงถูกนำมาใช้เรียก การออกแบบในรูปแบบใหม่นี้ สำหรับยุคนั้น
ดังนั้น บ้าน หรืออาคารที่จะมีสไตล์ที่เข้าลักษณะแบบโมเดิร์น จึงควรมีรูปทรงที่ตอบสนองประโยชน์ใช้สอยสูงสุด ซึ่งมักจะเป็นรูปทรงเรขาคณิตเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นไปเสียทั้งหมด ต้องพิจารณาความเหมาะสมที่สามารถตอบสนองการใช้งานได้เป็นอย่างดีด้วย หลายครั้งที่เรามักจะมองเห็นบ้านบางหลังที่มีห้องบางห้องเป็นห้องวงกลม ซึ่งน่าสนใจและเป็นจุดเด่นเมื่อมองมาจากภายนอก และดูน่าจะเข้าข่ายสไตล์โมเดิร์นเพราะมาจากรูปทรงเรขาคณิต แต่หากมองในแง่การใช้แล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการใช้งานจริงอาจใช้งานได้ไม่เต็มที่ เพราะเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นเหลี่ยมซึ่งมักจะทำให้เสียและสิ้นเปลืองพื้นที่
ไม่มีการตกแต่งหรือประดับประดาที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ทุกส่วนหรือทุกๆ องค์ประกอบของตัวบ้านจะต้องมีหน้าที่หรือประโยชน์ใช้สอยในตัวของมันเอง ตัวอย่างที่สังเกตเห็นได้ง่ายๆ ก็คือเสาของอาคาร เสาอาคารทำหน้าที่รับน้ำหนัก หากเสามีการประดับตกแต่งด้วยบัวหัวเสา หรือคิ้ว ก็จะถือว่าเป็นการประดับประดาที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
เคารพในธรรมชาติของพื้นผิวของวัสดุ ในส่วนของวัสดุเมื่อเลือกใช้วัสดุใดก็ควรแสดงพื้นผิวที่แท้จริงของวัสดุนั้นๆ อย่างเช่นการใช้วงกบประตูหรือหน้าต่างที่เป็นไม้ ก็ควรแสดงให้เห็นว่าเป็นไม้ หลายครั้งที่มักจะเห็นวงกบไม้ถูกทาด้วยสีน้ำมัน ซึ่งมักจะทำให้มองดูแล้วไม่รู้ว่าใช้วัสดุอะไร
เคารพในธรรมชาติโครงสร้าง สำหรับหลักการทางด้านโครงสร้างของงานสไตล์โมเดิร์นมักจะแสดงส่วนของโครงสร้างโดยไม่มีการปิดบัง และถือว่าเป็นความงามอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น การใช้ฝ้าเพดานเพื่อปกปิดการเดินงานระบบท่อประปา หรือระบบสายไฟฟ้าที่ไม่เรียบร้อย ซึ่งหลายคนอาจจะแย้งได้ว่าฝ้าเพดานก็มีหน้าที่ในตัวของมันเองคือปกปิดความไม่เรียบร้อย แต่ถ้าบ้านหลังใดมีการออกแบบตำแหน่งห้องให้ดี วางและเดินระบบท่อ ระบบสายไฟให้เรียบร้อย ฝ้าเพดานก็อาจไม่มีความจำเป็น หรือมีเฉพาะบางส่วนก็เป็นได้

หลายครั้งที่มีความเข้าใจผิดว่าบ้านที่ไม่มีชายคา ยื่นจากตัวบ้านหรือบ้านที่มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมเหมือนในนิตยสารแต่งบ้านจากต่างประเทศคือสไตล์แบบโมเดิร์น ถือเป็นความเข้าใจผิดอย่างแรงเลยทีเดียว เพราะสไตล์ของโมเดิร์นที่จะต้องเคารพต่อธรรมชาติของวัสดุ เคารพต่อธรรมชาติของโครงสร้าง ที่สำคัญที่สุดคือต้องเคารพต่อธรรมชาติแวดล้อมนั่นเองครับ ประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อนชื้นมีฝนตกเป็นประจำ ดังนั้นเมื่อบ้านหลังใดไม่มีชายคา หรือแม้แต่ระยะยื่นของชายคาไม่เพียงพอก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้ามาภายในบ้านได้ง่าย และนั่นคงไม่ถือว่าเป็นสไตล์โมเดิร์นเพราะสไตล์โมเดิร์นควรตอบสนองประโยชน์ใช้สอยสูงสุดครับ
จุดเด่นจุดด้อยของแบบบ้านแต่ละประเภท
หลายคนอาจเคยสงสัยเรื่องประเภทของแบบบ้าน ที่ถูกจัดหมวดหมู่ตามลักษณะทางกายภาพ ว่ามีกี่ประเภทซึ่งโดยทัวไปที่จะพบกันก็จะประกอบไปด้วย แบบบ้านชั้นเดียว แบบบ้านสองชั้น แบบบ้านชั้นครึ่ง แบบบ้านสามชั้น (อาจมี แบบบ้าน 4 ชั้น แต่พบเห็นได้น้อยมาก) สำหรับแบบบ้านชั้นเดียวก็จะเป็นบ้านที่มีลักษณะทางกายภาพในด้านความสูงที่จะมีระยะต่ำที่สุดในบรรดาบ้านทุกประเภทนั้นคือหากเป็นบ้านที่ไม่ได้เป็นลักษณะยกพื้น ความสูงก็จะอยู่ที่ประมาณ (รวมหลังคา) ซึ่งจุดเด่นของแบบบ้านชั้นเดียวนั้นก็คือการที่มีพื้นที่ภายในบ้านทั้งหมดอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งหมดจะให้ความสะดวกในด้านการอยู่อาศัยโดยเฉพาะผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามจุดด้อยของบ้านประเภทนี้ก็น่าจะอยู่ที่ความต้องการพื้นที่ดินที่มากกว่าบ้านลักษณะอื่นๆ นอกจากนั้นหากเปรียบเทียบในขนาดพื้นที่เดียวกัน อาจมีราคาก่อสร้างสูงกว่าบ้านประเภทอื่นอันเนื่องมาจากจำนวนของเสาและฐานรากที่มา่กขึ้นตาม โดยเฉพาะบ้านที่ต้องอาศัยเสาเข็ม

จากประเด็นจุดด้อยของบ้านชั้นเดียวที่ได้กล่าวมานั้น จึงมีแบบบ้านสองชั้นเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหา การปลูกบ้านบนที่ดินซึ่งค่อนข้างมีขนาดเล็ก แต่ต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่มากขึ้น โดยบ้านสองชั้นนั้นหากมองในทางกายภาพก็จะหมายถึงบ้านที่มีพื้นที่อยู่อาศัยด้านบนและด้านลล่างและเชื่อมต่อด้วยบันไดบ้านและพื้นที่ทั้งสองชั้นจะมีอัตราส่วนที่เท่าๆกัน ซึ่งข้อได้เปรียบของบ้านลักษณะนี้ก็จะเหมาะสำหรับเจ้าของบ้านที่มีพื้นที่ดินไม่มาก อย่างไรก็ตามการก่อสร้างบ้านสองชั้นนั้นก็ต้องอาศัยทักษะฝีมือในการก่อสร้างมากกว่าบ้านชั้นเดียว เนื่องจากมีระยะความสูงของเสาที่มากกว่า และมีการออกกแบบคานมากถึง 2 ชั้น เพื่อรับน้ำหนักพื้น นอกจากนั้นจุดเด่นที่ตามมาของการก่อสร้างบ้านสองชั้นนั้นคือพื้นที่อยู่อาศัยชั้นล่างจะค่อนข้างเย็นสบายกว่าชั้นบน อันเนื่องมาจากการที่มีส่วนของชั้นบนเป็นพื้นที่ในการ ป้องกันความร้อน ที่จะลงมาสู่ชั้นล่างนั้นเอง

แบบบ้านอีกประเภทที่ค่อนข้างมีความสับสนอยู่มากในบรรดา กลุ่มผู้ที่กำลังเริ่มมองหาแบบบ้านเพื่อการก่อสร้างบ้าน นั้นคือแบบบ้านที่เรียกว่า บ้านชั้นครึ่ง ณ ที่นี้ก่อนที่จะให้นิยามความหมายกับผู้อ่าน ก็ขอย้อนไปถึง ความหมายของบ้านชั้นเดียว และบ้านสองชั้นก่อน นั่นคือ
บ้านชั้นเดียว = บ้านที่มีลักษณะทางกายภาพทางแนวระนาบ เพียงระดับเดียวทั้งหลัง
บ้านสองชั้น = บ้านที่มีพื้นที่ต่างระดับในแนวดิ่ง 2 ระดับ ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง โดยพื้นที่ ชั้นบนและชั้นล่างมีอัตราส่วนเท่าๆกัน
และที่เป็นที่สับสนกันมากนั้นคือบ้านชั้นครึ่ง แล้วบ้านชั้นครึ่งคืออะไร
บ้านชั้นครึ่ง คืออะไร?
= บ้านชั้นครึ่ง จริงๆแล้สคือบ้านสองชั้น ซึ่งพื้นที่ชั้นบนมีอัตราส่วนประมาณ ครึ่งนึงของพื้นที่ชั้นล่าง (ปล. คำว่าบ้านชั้นครึ่งเป็นช่ือที่ถูกเรียกเพื่อให้เแตกต่างจากบ้านสองชั้น แต่ในทางกฏหมายการก่อสร้างอาคารนั้น ถูกกำหนดเป็นบ้านสองชั้น
ตามคำนิยามที่กล่าวมานั้น ผู้อ่านคงจะร้องอ๋อกันแล้วนะครับว่าเหตุใดจึงเรียกว่าบ้านชั้นครึ่ง และบ้านชั้นครึ่งมีลักษณะเป็นอย่างไร แล้วทำไมถึงต้องออกแบบบ้านเป็นแบบบ้านชั้นครึ่งหละ มีจุดเด่นและจุดด้อยอย่างไรบ้าง อันนี้จะอธิบายให้ทราบกันนะครับ ในด้านจุดเด่นของบ้านชั้นครึ่งนั้น ประเด็นแรกเลยก็คือ แก้ปัญหาเจ้าของบ้านที่มี ที่ดินจำกัด และมีงบประมาณจำกัด ในประเด็นนีั้หากย้อนไปดูลักษณะของบ้านสองชั้น เราจะเห็นว่าหากเป็นบ้านสองชั้น การก่อสร้างทั้งชั้นบนและชั้นล่างจะมีขนาดพื้นที่เท่ากัน นั้นก็หมายถึงงบประมาณที่ต้องเพิ่มมากขึ้นตาม และอาจมีขนาดพื้นที่ใช้สอบมากเกินความจำเป็น เมื่อเทียบกับจำนวนสมาชิก ดังนั้นแบบบ้านชั้นครึ่งซึ่งพื้นที่ใช้บนมีประมาณครึ่งนึงของชั้นล่างก็จะตอบโจทย์และแก้ปัญหานี้ได้ครับ กล่าวคือท่านจะมีบ้านที่สามารถปลูกสร้างในพื้นที่ดินจำกัด พอเหมาะกับจำนวนสมาชิก รวมทั้งงบประมาณของท่านได้