11 ข้อควรรู้ ก่อนการใช้งานเครื่องปั่นไฟ
1.ขั้นตอนแรกในการเริ่มใช้งานเครื่องปั่นไฟทุกครั้ง คุณจะต้องมีการศึกษาคู่มือการใช้งานของเครื่องปั่นไฟโดยละเอียด และจะต้องมีการตรวจสอบสวิตซ์ไฟและอุปกรณ์ต่างๆให้มีสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ รวมถึงศึกษาตำแหน่งวาล์ว การเปิดและปิดเครื่องปั่นไฟ เพื่อที่จะสามารถควบคุมเครื่องปั่นไฟได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถใช้หลักการได้กับทั้งเครื่องปั่นไฟระบบ Manual และระบบ Automatic อีกด้วย
2.มีความเข้าใจในระบบพื้นฐานของน้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องปั่นไฟ โดยจะต้องมีการตรวจสอบระบบน้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องปั่นไฟทุกครั้งก่อนการใช้งาน และน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องมีสภาพใหม่ เพื่อการใช้งานเครื่องปั่นไฟที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
3.ตรวจสอบระบบน้ำมันหล่อลื่นของเครื่องปั่นไฟทุกครั้งก่อนการใช้งาน โดยจะต้องมีระดับของน้ำมันหล่อลื่นที่สมดุล,ได้มาตรฐาน เพื่อการใช้งานที่ลื่นไหลและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
4.ตรวจสอบระดับ “น้ำกลั่น” ในหม้อน้ำรังผึ้งของเครื่องปั่นไฟ โดยน้ำกลั่นจะต้องเต็มถัง ฝาหม้อปิดน้ำและสายยางท่อน้ำต้องอยู่ในสภาพดี
5.ตรวจสอบระดับประจุของแบตเตอรี่ในเครื่องปั่นไฟทุกครั้งก่อนการเริ่มใช้งาน โดยประจุจะต้องเต็ม เพื่อประสิทธิภาพอันสูงสุดของเครื่องปั่นไฟ
6.ตรวจสอบขั้วสายไฟ และสายไฟทุกครั้ง โดยจะต้องอยู่ในสภาพดี, ไม่ชำรุด
7.ตรวจสอบการรั่วซึมของระบบของเหลวทุกอย่างในตัวเครื่องปั่นไฟ ทั้งน้ำมันหล่อลื่น, น้ำกลั่น, น้ำมันเครื่องยนต์ ฯลฯ หากพบการรั่วซึมจะต้องได้รับการแก้ไขจากช่างผู้ชำนาญการเท่านั้น
8.ตรวจสอบระบบสายพานของเครื่องปั่นไฟ โดยสายพานจะต้องอยู่ในระดับมาตรฐาน ซึ่งระดับพูเล่ของ
ใบพัดกับพูเล่ของไดชาร์ตจะต้องมีน้ำหนักการกดประมาณ 10 กิโลกรัม และตั้งความตึงให้อยู่ระหว่าง 11 ถึง 13 มิลลิเมตร
9.ตรวจสอบระบบการระบายอากาศของเครื่องปั่นไฟ โดยใบพัดของระบบระบายอากาศจะต้องอยู่ในสภาพดี ไม่ชำรุดเสียหาย
10.ทดสอบการเดินเครื่องของเครื่องปั่นไฟ โดยจะต้องมีการเดินเครื่องที่ราบรื่น ไม่มีอาการกระตุกหรืออาการวูบของเครื่องปั่นไฟเกิดขึ้น
11.ตรวจวัดระดับอุณหภูมิภายในเครื่องปั่นไฟ โดยอุณหภูมิจะต้องอยู่ในระดับปกติ และอุณหภูมิของน้ำหล่อเย็นต้องไม่เกิน 94 องศาเซลเซียส
เครื่องกำเนิดไฟฟ้า คืออะไร
เครื่องกำเนิดไฟฟ้าหรือเครื่องปั่นไฟ (Generator Set) เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของระบบสำรองไฟที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยที่หลักการของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า คือ “การเปลี่ยนแปลงพลังงานกลมาเป็นพลังงานไฟ้า” โดยอาศัยการเหนี่ยวนำของแม่เหล็กตามหลักการของ ไมเคิล ฟาราเดย์ ที่ว่า การเคลื่อนที่ของขดลวดตัวนำผ่านสนามแม่เหล็กหรือการเคลื่อนที่แม่เหล็กผ่านขดลวดตัวนำจะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดตัวนำนั้น
ซึ่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ ชนิดกระแสตรงเรียกว่า ไดนาโม (Dynamo) และชนิดกระแสสลับเรียกว่า อัลเตอร์เนเตอร์ (Alternator)
สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมนั้น โดยมากจะเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ ซึ่งมีทั้งแบบ 1 เฟส และแบบ 3 เฟส ซึ่งจะมีทั้งแบบขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์ดีเซล โดยที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าประกอบไปด้วยอุปกรณ์หลักๆ คือ เครื่องยนต์ (Engine) ไดร์ปั่นไฟ (Alternator) และชุดควบคุม (Controller)
ซึ่งทุกส่วนจะถูกนำมาประกอบร่วมเป็นชุดเดียวกัน โดยที่จะมีชุดควบคุมเป็นตัวสั่งการเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอุปกรณ์สำหรับเลือกแหล่งจ่ายไฟหรือที่เรียกว่า ATS (Automatic Transfer Switch) ว่าจะให้สับไปรับไฟจากส่วนไหน ระหว่างหม้อแปลงการไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้านั่นเอง
จากบทความเราจะได้ทราบแล้วว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะทำงานด้วยการเปลี่ยนพลังงานกลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า จึงเกิดกระแสไฟขึ้นมา ภายในเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะมีอุปกรณ์หลักอยู่ 3 อย่างคือ เครื่องยนต์ ไดร์ปั่นไฟ และชุดควบคุม ซึ่งในบทต่อไปเราจะมาดูกันว่าในชุดควบคุมหรือคอนโทรลเลอร์นั้นมีอุปกรณ์อะไรบ้าง
การดูแลเครื่องปั่นไฟ
เพื่อให้การทำงานของเครื่องปั่นไฟมีประสิทธิภาพมากที่สุดแล้ว วิธีการบำรุงรักษาเครื่องปั่นไฟอย่างถูกวิธี จึงมีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว ที่จะทำให้เครื่องปั่นไฟของคุณมีอายุการใช้งานที่ยืนยาวและคุ้มค่ามากที่สุด
1. ก่อนการตรวจสอบและดูแลรักษาเครื่องปั่นไฟของคุณทุกครั้ง คุณจะต้องทำการปิดสวิตซ์ไฟและปิดระบบการจ่ายไฟของเครื่องปั่นไฟก่อนเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากเครื่องยนต์ ซึ่งอาจจะทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดเองขณะทำการตรวจเช็คได้
2. ในทุกการใช้งานตลอดระยะเวลา 20 ชั่วโมงของการใช้งานเครื่องปั่นไฟคุณจะต้องตรวจสอบและดูแลรักษาเครื่องปั่นไฟ ดังนี้
- ตรวจสอบระดับน้ำมันหล่อลื่นของเครื่องยนต์ โดยระดับน้ำมันหล่อลื่นของเครื่องปั่นไฟที่เหลือ จะต้องไม่มีตะกอนหรือคราบดำปรากฏให้เห็น และจะต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องยนต์ทุกครั้งก่อนการใช้งาน เพื่อเป็นการบำรุงรักษาสภาพเครื่องยนต์ภายในให้มีสภาพดีอยู่เสมอ
- ทำความสะอาดหม้อน้ำกลั่นในเครื่องปั่นไฟ โดยการใช้ผ้าแห้งเช็ด และทำการตรวจสอบสภาพน้ำกลั่น ซึ่งจะต้องมีความใสบริสุทธิ์ ไม่มีตะกอนหรือเปลี่ยนสี
- หลังจากการใช้งานทุกครั้ง ในบริเวณสายไฟหรือขั้วต่อในเครื่องปั่นไฟ จะต้องทำการหมุนขั้วสายไฟให้แน่น และใช้ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาดอยู่เสมอ
- สายพานของเครื่องปั่นไฟ ควรใส่น้ำมันหล่อลื่นทุกครั้งหลังการใช้งาน และควรเปลี่ยนสายยางทันทีหากสายยางชำรุดเสียหาย
3. ในส่วนของหม้อน้ำรังผึ้งด้านนอกของเครื่องปั่นไฟหลังจากการใช้งาน ให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆเช็ดทำความสะอาดทุกครั้ง เพื่อเป็นการลดอุณหภูมิและป้องกันฝุ่นละออง
4. ในทุก ๆ 3 เดือน หรือการใช้งาน 250 ชั่วโมง จะต้องมีวิธีการดูแลรักษาเครื่องปั่นไฟ ดังนี้
- ทำการถ่ายน้ำมันหล่อลื่นของเครื่องปั่นไฟ
- เปลี่ยนไส้กรองของน้ำมันหล่อลื่นในเครื่องปั่นไฟ
- ตรวจสอบท่อสายยางและเหล็กรัดท่อในเครื่องปั่นไฟหากชำรุดให้ทำการเปลี่ยนทันที
- ตรวจสอบสภาพน๊อตของเครื่องปั่นไฟให้หนาแน่นอยู่เสมอ หากชำรุดให้ทำการเปลี่ยนทันที
5. ในทุก ๆ 6 เดือน หรือการใช้งาน 500 ชั่วโมง จะต้องมีวิธีการดูแลรักษาเครื่องปั่นไฟ ดังนี้
- ทำการเปลี่ยนไส้กรองเชื้อเพลิงของเครื่องปั่นไฟ
- ทำการเปลี่ยนไส้กรองอากาศของเครื่องปั่นไฟ
ข้อควรระวังในการใช้งานเครื่องปั่นไฟ
- ก่อนจะตรวจเช็คอุปกรณ์ใด ๆ ของเครื่องปั่นไฟ ถ้าระบบของเครื่องปั่นไฟเป็นแบบจ่ายกระแสอัตโนมัติ ให้ปรับไปที่ตําแหน่ง OFF หรือปลดขั้วสายแบตเตอรี่ออกเสียก่อน เพื่อป้องกนการเกิดอุบัติเหตุจากเครื่องยนต์สตาร์ทเองขณะทําการตรวจเช็ค
- ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อนอยู่
- ไม่จ่ายกระแสเกินกำลังของเครื่องปั่นไฟ
- ไม่ควรปรับอุปกรณ์ใดๆ ขณะจ่ายกระแสไฟฟ้า ถ้ามีความผิดปกติใด ๆ ให้งดจ่าย Load แล้วจึงทำการแก้ไข
- ไม่ควรทิ้งเครื่องยนต์โดยไม่มีผู้ดูแลขณะเครื่องกำลังทำงานอยู่
- ไม่ควรเปิด-ปิดเบรกเกอร์สำหรับจ่าย Load บ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น
- สถานที่ติดตั้งเครื่องปั่นไฟ ต้องมีการระบายอากาศเป็นอย่างดีและไม่ควรมีฝุ่นละออง ไม่เป็นสถานที่เก็บสารเคมีหรือวัตถุไวไฟอื่น ๆ นอกจากน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องยนต์เท่านั้น
- ขณะจ่าย Load ควรตรวจสอบกระแสไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า ความถี่ทางไฟฟ้าอยู่เสมอ
- ขณะจ่าย Load ควรตรวจสอบแรงดันน้ำมันเครื่องและอุณหภูมิของเครื่องยนต์
- ในการติดตั้งเครื่องปั่นไฟ จำเป็นต้องเดินสายดินโดยต่อกับแท่งทองแดง หรือ Ground Rod ที่ฝังอยู่ใต้ดินตามมาตรฐานกำหนด ทั้งนี้ต้องต่อตัวเครื่องยนต์และตู้ควบคุม